วันพุธที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ข้อมูล - ประวัติของ Microsoft รุ่นต่างๆ

ประวัติของผลิตภัณฑ์ Microsoft รุ่นต่างๆที่มีขึ้นมา ตั้งแต่ในอดีต โดยที่บริษัท Microsoft ได้ผลิตระบบปฏิบัติการออกมาแล้วทั้งหมด 16 รุ่น โดยแบ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่ใช้ทั่วไป หรือ ในบ้านเรือนเป็น 12 ระบบ และ Windows Server อีก4 ระบบ โดยมีระบบปฏิบัติการดังนี้
Microsoft Windows 1.0
วินโดวส์ 1.0 (อังกฤษ: Windows 1.0) เป็นระบบปฏิบัติการ 16-บิต รุ่นแรกของไมโครซอฟท์ที่ใช้กราฟิกและรองรับการทำงานหลายโปรแกรมพร้อมกัน โดยได้ออกวางจำหน่ายวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2528 (ค.ศ. 1985)
วินโดวส์ 1.0 รันจากดอส โดยวินโดวส์ 1.0 สามารถเรียกใช้งานโปรแกรมและฟังก์ชันต่างๆบนดอสได้ รวมถึงโปรแกรมสำหรับวินโดวส์นั้นยังรันด้วยไฟล์ .exe เหมือนโปรแกรมดอสอื่นๆ แต่ว่าวินโดวส์ไฟล์ .exeนั้นเป็นรูปแบบใหม่ต่างจากเดิม ซึ่งสามารถเรียกได้ผ่านวินโดวส์เท่านั้น
วินโดวส์ 1.0 สามารถเรียกได้ว่าเป็นเพียงการแสดงผลส่วนหน้าของดอส ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการไฟล์นั้น วินโดวส์เรียกใช้ฟังก์ชันต่างๆในดอสอีกที ซึ่งทำให้วินโดวส์นั้นไม่สามารถทำงานได้ด้วยตัวเอง หากไม่มีดอส ซึ่งวินโดวส์รุ่นต่อๆไปนั้นจะแทนที่ดอส จนสุดท้ายแล้วไม่จำเป็นที่ต้องพึ่งพาดอสต่อไป
เนื่องจากไมโครซอฟท์ได้มีการรองรับความเข้ากันได้กับรุ่นก่อนๆอย่างมาก จึงทำให้โปรแกรมที่พัฒนาสำหรับวินโดวส์ 1.0 นั้นยังสามารถทำงานได้ในวินโดวส์รุ่นปัจจุบัน และยังสามารถเปลี่ยนโปรแกรมให้เป็นรูปแบบทันสมัยเหมือนโปรแกรมปัจจุบันได้โดยการแก้ไขเพียงเล็กน้อย
-ความต้องการขั้นต่ำของวินโดวส์ 1.0 คือ MS-DOS 2.0 แรม 256KB และฮาร์ดดิสก์
Logo Run Microsoft Windows1.0
หน้าต่างของโปรแกรมยังเป็นรูปแบบของ Dos

Microsoft Windows 2.0
ในปี 1987 โดยผ่านมา 2 ปีนับตั้งแต่ที่ได้ออก Microsoft Windows 1.0 ต่อมาก็ได้ออก Microsoft Windows 2.0 ออกสู่ตลาด แต่ก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรจากเดิมมากนัก ส่วนมากจะเป็นการเพิ่มสีสันให้กับระบบ GUI ให้สวยงามมากขึ้น และเพิ่มความสามารถในการพิมพ์ได้ตรงกับที่เห็นหน้าจอมากขึ้น วินโดวส์รุ่นนี้มี 2 รุ่นย่อย คือ 286 และ 386 ซึ่งทำงานกับโปรเซสเซอร์ Intel 80286 และ 80386 ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอยู่บ้าง แต่ไม่มากนัก
Logo Run Microsoft Windows 2.0
มีระบบเครื่องคิดเลขและนาฬิกาเพิ่มขึ้นมา

Microsoft Windows 3.0 
ปี 1990 ในปีนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของ Windows ที่เข้ามามีบทบาทต่อเครื่อง Mc ของ Apple ที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในตอนนั้นในแง่ของ Computer ที่สามารถแสดงผลทางด้านกราฟิก
โดย Microsoft เริ่มมีการใช้ระบบ VxD [Virtual Device Driver] ซึ่งเป็น Driver ของ Windows ซึ่งช่วยในการติดต่อสื่อสารกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น โดยอาศัยระบบการบริหารหน่วยความจำเข้ามาช่วย หรือเป็นที่รู้จักกันดีในตอนนี้คือ kernel นั่นเอง ด้วยความสามารถของ VxD ก็เริ่มทำให้ระบบ Virtual Memory ของ Windows ดีขึ้นมากเมื่อทำงานแบบ Multi Tasking และด้วยเหตุนี้ทำให้ Windows 3.0 ทำยอดได้ถึง 10 ล้านชุดในระยะเวลาเพียง 2 ปีเท่านั้น
ในรุ่น 3.1 ได้มีการจำหน่าย Windows for Workgroups ซึ่งเป็นรุ่นที่มีความสามารถสูงกว่าวินโดวส์ 3.1 ทั่วไป เช่น รองรับระบบเน็ตเวิร์ค และโพรโทคอล, เกม Hearts และได้มีการทำวินโดวส์ 3.2 สำหรับวางขายเฉพาะประเทศจีน โดยจะใช้อักษรจีนแสดงตัวย่อ
Logo Run Microsoft Windows 3.1
หน้าต่างของโปรแกรมมีกราฟฟิคที่สวยกว่าเดิม

Windows 3.1X
Windows 3.1X ออกมาสานต่อความสำเร็จของ Windows 3.0โดยออกมาในเดือนมีนาคม 1992 Windows 3.1X ออกแบบมาโดยใช้โทนสีชื่อ Hotdog Sand ซึ่งประกอบด้วยสี หลักๆ คือ แดง เหลือง ดำ เพื่อช่วยให้คนที่ตาบอดสีในระดับหนึ่งสามารถมองตัวอักษร,ภาพ ได้สะดวกขึ้น Windows for Workgroups 3.1 ออกมาในเดือนตุลาคม 1992 โดยเพิ่มเติมในส่วนของการสนับสนุนระบบเครือข่าย

Logo Microsoft Windows 3.1X

หน้าต่างของโปรแกรมมีการใช้โทนสีเพิ่มมากขึ้น

Windows 3.11 NT
Windows 3.11 NT เป็น Windows ตัวแรกของสาย NT โดยเน้นในทาง Server กับทางธุรกิจ ออกมาในวันที่ 27 กรกฎาคม 1993 โดยมีออกมาด้วยกัน 2 รุ่นคือ Windows NT 3.1 กับ Windows NT Advanced Server ซึ่ง Windows 3.11 NT นี้มีระบบความปลอดภัยในการรัน Application ที่เข้มงวดขึ้น โปรแกรมไหนที่ติดต่อกับ Hardware โดยตรง หรือยังใช้ Driver ของระดับ DOS อยู่ จะไม่อนุญาตให้รัน ทำให้ระบบมีความเสถียรขึ้นกว่าเดิมมาก
เอ็นทีออกแบบมาสำหรับธุรกิจที่ต้องการประสิทธิภาพโดยเฉพาะ อีกทั้งเป็นระบบปฏิบัติการแบบ 32 บิต ซึ่งวินโดวส์ตัวก่อนหน้าทั้งหมด เป็นสภาวะการทำงานแบบ 16 บิต โปรแกรม 32 บิต (ซึ่งในขณะนั้นมักเป็นโปรแกรมขั้นสูง) สามารถใช้งานกับวินโดวส์เอ็นทีได้ แต่ไม่สามารถใช้งานกับวินโดวส์ 3.1 ได้ แต่โปรแกรม 16 บิต สามารถใช้งานกับวินโดวส์ 3.1 และเอ็นที ได้ เพราะเอ็นทีจะมีระบบแปลงไฟล์ ให้สามารถใช้งานในเอ็นทีได้
เอ็นที ย่อมาจาก (New Technology) มีความสามารถในการรองรับระบบสถาปัตยกรรมทางคอมพิวเตอร์ได้หลายประเภท ในช่วงนี้ผู้ใช้วินโดวส์เอ็นทีส่วนใหญ่ไม่ใช่ผู้ใช้ตามบ้าน แต่มักเป็นลูกค้าที่ใช้คอมพิวเตอร์ในระดับสูงและกลุ่มนักธุรกิจ ส่วนผู้ใช้ทั่วไปในช่วงนั้นมักยังใช้ วินโดวส์ 3.1 ธรรมดา

Logo Microsoft Windows NT 3.1

หน้าต่างของโปรแรมเน้นการใช้งานทางด้านธุรกิจ

Windows 95
1995 Microsoft Windows 95ปีนี้ถือเป็นก้าวเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกครั้งของ Microsoft และ Windows เพราะมันทำให้ Microsoft กลายเป็นยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไปอย่างไร้เทียมทานเลยก็ว่าได้โดย Windows 95 ที่ออกแบบมานั้นหน้าจอเป็น interface ที่ถูกปรับโฉมใหม่หมด Windows 95 ยังได้มีการแนะนำ feature ใหม่ที่เรียกกันว่า Plug and Play มาใช้เพื่อสนับสนุน hardware ที่เป็นส่วนประกอบอยู่ในเครื่องcomputer รวมถึงอุปกรณ์ต่อพ่วงสำหรับนักเล่นเกมอย่างเป็นจริงเป็นจัง จากเดิมที่การเล่นเกมที่มีอุปกรณ์ต่อพ่วงนี้จะอยู่ในเครื่องเล่นเกมของ Nintendo กับ Segaเท่านั้น และจุดนี้เองที่ทำให้เกมบน DOS หายไป และด้วย Direct X ทำให้มีการพัฒนาเกมตามมาอีกมากมาย ขณะที่ Protocol TCP/IP ก็ยังเป็นอีกหัวในสำคัญที่ทำให้การเปิดโลกinternet ของกลุ่มผู้ใช้ PC เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นและมีเว็บไซต์ต่างๆเกิดขึ้นตามมา เพื่อรองรับการใช้จากทั่วทุกมุมโลก
วินโดวส์ 95 ประสบความสำเร็จอย่างสูง ยอดการใช้วินโดวส์ 95 สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ของวินโดวส์
Logo Run Microsoft Windows 95
ภาพหน้าจอ Windows 95
Microsoft Windows NT 4.0
หลังจากออก NT 3.1 ทีมพัฒนา software ของ Microsoft ก็ได้ปล่อย Windows NT 4.0 ที่เน้นตลาดเน็ตเวิร์กมากขึ้น โดยจะมี interface คล้ายกับ Windows 95 แต่ว่าระบบมีความเสถียรมากกว่าโดยการเพิ่ม API [Application Programming Interface> เข้ามาทำให้ software/Hardware ต่างๆติดต่อกับ Windows ได้อย่างเป็นมาตรฐานเดียวกัน
Windows NT 4.0 ถือว่าได้รับความนิยมอย่างมากสำหรับบรรดากลุ่มองค์กรที่ต้องการเครื่อง server ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่
Logo Run Microsoft Windows NT 4.0
หน้าต่างของโปรแกรม Interface จะเหมือนกับ windows95 แต่จะมีความเสถียรกว่า

Microsoft Windows 98
Windows 98 ถือเป็นระบบปฏิบัติการที่มีผู้ใช้ยอมรับทั่วโลก โดยได้รับการพัฒนาในเรื่องพอร์ต USB ถือเป็นการเริ่มใช้งานครั้งแรกบน Windows 98 ในปี 1997 รวมถึงระบบ Fat32 ที่ทำให้ Windows สนับสนุน Hard Disk ที่มีขนาดมากกว่า 2 GB ได้ นอกจากนั้นยังได้มีการรวมเอา hyper link ของ Internet Explorer มารวมกับ Windows Explorer กลายเป็น Interface ร่วมกันของทั้งสองระบบ
Logo Run Microsoft Windows 98
หน้าต่าง Interface Windows 98
Windows 98 SE
เนื่องจาก Windows 98 ยังมีบั๊กอยู่เยอะ 2 ปีให้หลัง Microsoft ก็ได้ออก Windows 98 SE [Second Edition]เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดดังกล่าว และเป็นการมารพร้อมกับfeature ใหม่ที่เรียกว่า ICS หรือ Internet Connection Sharing ซึ่งทำให้เครื่อง PC หลายๆเครื่องสามารถ share internet ร่วมกันได้โดยใช้เพียง Account เดียวเท่านั้น
Logo Run Microsoft Windows 98 SE
Interface เหมือนกับ windows 98 แต่มีการแก้บัคต่างๆ

Windows 2000
ต้นปี 2543 ทางบ.ไมโครซอฟท์ได้นำ Windows 2000 Server ออกสู่ตลาด เพื่อแทนระบบปฏิบัติการ Windows NT โดยออกแบบให้มีความเสถียรและคงทนมากกว่า ทำให้หลายหน่วยงานได้อัพเกรดมาใช้ Windows 2000 Server แต่เนื่องจากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมานี้ได้เกิดบรรดาแฮกเกอร์หน้าใหม่ขึ้นมากมายรวมทั้งไวรัสตัวแสบที่คอยจ้องจะเจาะระบบ และปล่อยไวรัสเข้าสู่ระบบของ Windows ทั่วโลก ทางไมโคซอฟท์จึงต้องออก Security patch สำหรับแก้ไขและปิดช่องโหว่ต่าง ๆหลายแพต เพื่อป้องกันพวกแฮก เกอร์มือบอนทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้เองไมโครซอฟท์จึงได้ระดมทีมงานวิศวกรประมาณ 8,500 คนจากทั่วทุกมุมโลก เข้ามาร่วมออกแบบและพัฒนา Windows Server 2003 คือมีความปลอดภัยตั้งแต่การออกแบบ (Secure by Design) โดยจะเน้นที่ IIS 6.0 (ออกแบบใหม่ทั้งหมด) เพื่อให้ Web Server มีความปลอดภัยสูงขึ้น ตัดเซอร์วิสที่ใช้ทำงานตอนเริ่มแรกอีก 19 เซอร์วิส (Secure by Default) นอกจากนี้ทีมงานวิศวกรยังตรวจสอบซอร์สโค๊ดทุกบรรทัดอย่างละเอียดเพื่อตรวจหารูรั่วหรือช่องโหว่ด้านความปลอดภัย
มีความปลอดภัย ในขณะติดตั้งระบบปฏิบัติการและระหว่างการใช้งาน (Secure by Deployment) เรียกว่ามีความปลอดภัยทั้งตัว Windows Server และระบบเน็ตเวิร์ก มีความสามารถ ในการตรวจจับและป้องกันระบบจากการโจมตีมากขึ้น คือมีองค์ประกอบแบบ SD3 (Secure by Dxxx) อยู่ในตัววินโดวส์ 2000 ได้แบ่งเป็นรุ่นดังนี้
- Windows 2000 Professional
- Windows 2000 Server
- Windows 2000 Advanced Server
- Windows 2000 Datacenter Server
- Windows 2000 Advanced Server Limited Edition (สำหรับ 64-บิต Intel Itaninum microprocessors)

Logo Run Microsoft Windows 2000
รูป Interface Windows 2000

Windows Me
Windows ME (Millennium Editor) เป็นระบบปฏิบัติการใหม่สุดของ Microsoft ซึ่งวางขาย เมื่อกันยายน 2000 Window ME ได้รับการพัฒนาโดยเฉพาะสำหรับผู้ใช้ตามบ้าน โดยเวอร์ชัน Windows 2000 ได้รับการพัฒนาให้ใช้ในทางธุรกิจ Microsoft ได้กล่าวว่าเป็นการปรับปรุง Windows 98 โดยรวมการอินเตอร์เฟซโดยสัญชาติญาณสำหรับผู้ใช้ใหม่ และเพิ่มฟังก์ชันการทำงานสำหรับผู้ใช้ที่มีประสบการณ์
การออกแบบทำให้เข้าได้กับ Windows 98 ทำให้ Windows ME จะทำงานกับโปรแกรมประยุกต์และ driver เดิมได้ สิ่งที่ปรับปรุงเหนือกว่า Windows 98 คือ เพิ่มฟังก์ชัน เพื่อทำให้ระบบมีเสถียรภาพและการแก้ไขความผิดพลาด (PC health) และเครื่องมือในการออกแบบสำหรับ digital media เครือข่ายภายในบ้านและ online experience

Logo Microsoft Windows Me (Millennium Editor)

Interface Windows Me (Millennium Editor)

Windows XP
เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2544 มีการวางจำหน่าย Windows XP โฉมใหม่ ซึ่งเน้นไปที่ฟังก์ชันที่สามารถใช้งานได้จริงและศูนย์รวมข้อมูลความช่วยเหลือและวิธีใช้แบบครบวงจร โดยสามารถใช้งานได้ใน 25 ภาษา นับแต่ช่วงกลางปี 2543 จนถึงการวางจำหน่าย Windows XP มีพีซีประมาณ 1 พันล้านเครื่องทั่วโลกที่ติดตั้งโปรแกรมนี้
สำหรับ Microsoft ระบบปฏิบัติการ Windows XP กำลังจะกลายเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ขายดีอันดับหนึ่งในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ ด้วยความรวดเร็วและความเสถียรของระบบ การเข้าออกเมนู 'เริ่ม' แถบ งาน และแผงควบคุมสามารถทำงานได้ง่ายขึ้น มีการตื่นตัวเรื่องไวรัสคอมพิวเตอร์และแฮกเกอร์มากขึ้น แต่ก็มีการเปิดให้ดาวน์โหลดอัปเดตระบบความปลอดภัยทางออนไลน์ซึ่งช่วยลดความ กลัวได้ระดับหนึ่ง ผู้ใช้เริ่มเข้าใจถึงคำเตือนเกี่ยวกับเอกสารแนบที่น่าสงสัยและไวรัส และเริ่มเห็นความสำคัญของบริการช่วยเหลือและวิธีใช้มากขึ้น

Logo Run Microsoft Windows XP Home Edition


Interface เปลี่ยนไปจาก Windows 98 และ Windows Me ทั้งหมด

Microsoft Windows Server 2003
Windows 2003 Server หรือ Windows NT 5.2 นั้นถูกสร้างขึ้นจาก Windows 2000+Windows XPโดยมุ่งหวังที่จะเข้าแทนที่ Windows 2000 นอกจากหน้าตาเหมือน Windows XP แล้วยังได้มีการเสริมในเรื่องของระบบรักษาความปลอดภัยให้สูงขึ้นเพราะถูก สร้างขึ้นมาให้ใช้กับองค์กรโดยเฉพาะ การจัดการที่ทำได้ง่ายโดยผ่าน Browser IE และยังเพิ่มความเสถียรในเรื่องของการเข้ากันได้กับ Application Code ต่างๆได้อย่างหลากหลายมากขึ้น โดย Windows Server 2003 นี้มีมากถึง 5 รุ่นได้กัน คือ
-Windows Server 2003 Standard – เหมาะสำหรับทำ server ขนาดในบริษัทขนาดเล็ก
-Microsoft Windows Small Business Server 2003 – เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก-กลาง
-Microsoft Windows Server 2003, Datacenter Edition – เหมาะสำหรับองค์กรที่มีข้อมูลมากมายที่ต้องจัดการ
-Microsoft Windows Server 2003, Enterprise Edition – เหมาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่
-Microsoft Windows Server 2003, Web Edition – เหมาะสำหรับทำ Web server
Logo Run Microsoft Windows Server 2003
Interface เหมือน Windows XP แต่การใช้งานแตกต่างกัน

Microsoft Windows XP Media Center Edition 2002 (WinMCE2002)
Microsoft ได้นำเอา Microsoft Windows XP Media Center Edition ออกจำหน่ายเพื่อรองรับกับกลุ่มลูกค้าPC ตามบ้านที่ต้องการชุด โฮมเธียเตอร์ โดยหลักโปรแกรมนี้ก็คือ Windows XP Pro ที่มีการเพิ่มลูกเล่นในส่วนของ Media Center เข้าไปนั่นเอง ทำให้สามารถควบคุมผ่านรีโมทได้เหมือนกับโฮมธีเตอร์ทั่วๆไปและ Media Center ที่เพิ่มมายังสามารถทำงานกับอุปกรณ์มีเดียทั้งหลายที่เชื่อมต่ออยู่กับ PC และการจัดการกับสื่อ Media ต่างๆได้ โดยใช้เพียงรีโมทเท่านั้น
Interface Windows XP Media Center Edition 2002


Windows XP Media Center Edition 2005
หลังจากนำร่องด้วย MCE2002 ปีนี้ Microsoft ได้ออก MCE2005 ซึ่งมีการเพิ่มคุฯสมบัติใหม่ๆเข้ามาเช่นการรองรับ HDTV [High Definition TV> หรือ TV ความละเอียดสูงที่แพร่ภาพในระบบ Digital นอกจากนั้นยังมี interface ที่สนับสนุน Media Center Extenders ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถ download/upload ไฟล์หรือดูเนื้อหาต่างๆของไฟล์แบบสตรีมได้อย่างง่ายดาย ซึ่งจะช่วยเพิ่มเสถียรภาพและประสิทธิภาพของ Media Center 2005

Logo Run Microsoft Windows Xp Media Center Edition 2005

Microsoft Windows XP Professional x64 Edition
เมษายน 2005 Microsoft ได้นำเสนอ Microsoft Windows XP Professional x64 Editionออกสู่ตลาด Windows ตัวนี้นับเป็นตัวแรกที่มีโครงสร้างสถาปัตยกรรมแบบ 64 bit และยังคงทำงานได้กับโปรแกรม 32 bit ได้เช่นเดิม โดยฟังก์ชั่นนี้เรียกว่า WoW หรือ Windows 32 on Windows 64 ซึ่ง Windows นี้ถูกออกแบบเพื่อนำมาใช้กับงานกราฟิก 3D งานออกแบบ เครื่องบิน Animation หรืองานที่ต้องการความละเอียด
Logo Microsoft Windows Xp Professoional x64 Edition

Windows Vista
Windows Vista หรือชื่อในการพัฒนาว่า Windows longhorn นั้นถือเป็นการเปลี่ยนแปลงของ Windows ครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง นอกจาก core จะเป็น Windows NT 6.0 แล้วสิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือการแสดงผลแบบ 3D ของ Window นั่นเอง ซึ่งถือเป็นจุดเด่นอีกจุดหนึ่ง นอกจาก Interface ที่เปลี่ยนครั้งใหญ่แล้ว สิ่งที่ Microsoft มุ่งเน้นมากคือความปลอดภัยโดยการประกาศท้าทายเหล่า Hacker ให้เจอะระบบของ Windows vista กันเลยทีเดียว นอกจากนั้นยังมีการจ้าง Hacker มาตรวจสอบ source code ทั้งหมดของ Windows vistaเพื่อหาช่องโหว่ที่อาจจะเกิดขึ้นไม่ว่าด้วยวิธีการใดๆ นอกจากนั้น Windows Vista ยังมากับไฟล์รับบรูปแบบใหม่ คือ WinFS [Windows Future storage> ที่จะเข้ามาแทน NTFS
-Windows Vista Home Basic เหมาะสำหรับ คนทั่วไปที่ไม่เคยใช้ Windows มาก่อน
-Windows Vista Home Premium เหมาะกับเครื่องที่เน้นทำเป็น Media Center ที่บ้าน
-Windows Vista Business เหมาะกับกลุ่ม power user ทั่วๆไป หรือเปรียบได้กับ Windows XP Pro
-Windows Vista Enterprise เหมาะกับองค์กรขนาดใหญ่
-Windows Vista Ultimate เหมาะกับคนที่ต้องการทุกๆอย่าง

Logo Run Microsoft Windows Vista Ultimate

Interface Windows Vista มีการใส่กราฟฟิค 3D ทำให้สวยมากขึ้น

Windows 7
Windows 7 เป็นระบบปฏิบัติการ Microsoft Windows เผยแพร่เชิงพาณิชย์ในเดือนตุลาคม 2552 ในการพัฒนา Windows 7 รู้จักในชื่อรหัส “Blackcomb” และ “Vienna”
Windows 7 ได้รับการสร้างบนเคอร์เนล Vista ต่อผู้ใช้สุดท้ายจำนวนมาก การเปลี่ยนใหญ่ที่สุดระหว่าง Vista และ Windows 7 เร็วกว่าในเวลาบู๊ต การอินเตอร์เฟซผู้ใช้ใหม่และนอกเหนือจาก Internet Explorer 8 ระบบปฏิบัติการนี้มีให้อย่างกว้างขวางในสามรุ่นค้าปลีกคือ Windows 7 Home Premium, Professional และ Ultimate นอกจากนี้ ในบางตลาดมีรุ่น Starter, OEM และ Enterprise
Windows 7 ต้องการโพรเซสเซอร์ 1 GHz (32-บิต หรือ 64-บิต), RAM ขนาด 1 GB (32-บิต) / RAM ขนาด 2 GB (64-บิต), พื้นที่ดิสก์ 16 GB (32-บิต) / 20 GB (64-บิต) และ อุปกรณ์กราฟฟิก DirectX 9 กับไดร์ฟเวอร์ WDDM 1.0 สูงกว่า ตามข้อมูล
Logo Run Microsoft Windows 7

Interface Windows 7 มีการเพิ่ม Gadget ต่างๆเข้าไป และกราฟฟิคที่สวยกว่าเดิม

Windows 8
เป็นระบบปฏิบัติการของไมโครซอฟท์รุ่นล่าสุด เริ่มพัฒนาก่อน Windows 7 ในปี 2009 ประกาศออกมาตั้งแต่ปี 2011 Windows 8 ปล่อยออกมา 3 เวอร์ชันอย่างเป็นทางการตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2554 ถึงเดือนพฤษภาคม 2555 ส่งไปยังผู้ผลิตในวันที่ 1 สิงหาคม 2555 และเปิดให้ใช้งานโดยกลุ่มผู้ใช้ทั่วไปในวันที่ 26 ตุลาคม 2555
วินโดวส์ 8 ปรับเปลี่ยนโดยเน้นการใช้งานบนอุปกรณ์พกพาเช่น แท็บเล็ต เพื่อเป็นคู่แข่งกับระบบปฏิบัติการบนอุปกรณ์พกพาอื่น ๆ เช่น ไอโอเอสและแอนดรอยด์ และได้ปรับปรุงส่วนติดต่อกับผู้ใช้งาน (UI) ทีมีชื่อว่า Modern UI มีหน้าตาที่เรียบง่าย และสะดวกต่อการใช้งาน มีการอัปเดตแอปต่าง ๆ ตลอดเวลาด้วยระบบ Live Tiles และยังผนวกโปรแกรมป้องกันไวรัสเข้ามากับระบบปฏิบัติการโดยตรง ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องไปซื้อโปรแกรมป้องกันไวรัสเพิ่มเติม
คุณสมบัติ
เป็น Tablet-Friendly หรือใช้กับอุปกรณ์จอสัมผัสได้เป็นอย่างดีมีการใช้ Modern UI Style ซึ่งตัวไอคอนจะมีลักษณะเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมเรียกว่า Tile
-Windows store จะมีไว้สำหรับแจกและขายโปรแกรม
-มีโปรแกรมสำหรับใช้ Social network อย่าง Facebook กับ Twitter โดยเฉพาะ
-มีโปรแกรมป้องกันไวรัส Windows Defender
-Windows to Go ที่ทำให้วินโดวส์ 8 สามารถสร้างแฟรชไดรว์ที่บูตวินโดวส์ได้
-สามารถทำงานในระบบประมวลผมแบบ ARM ได้
-ในตัว Windows 8 มีการเปลี่ยนแปลงอยู่หลายอย่าง เช่น ปุ่ม "Start" ที่ใน Windows รุ่นก่อน ๆ จะใช้เพื่อเปิด เมนูเริ่ม ใน Windows 8 จะถูกตัดออกไปและแทนที่ด้วยหน้าจอเริ่มต้น (Start Screen)
-สำหรับ Windows Explorer จะใช้ Ribbon Interface ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายกับที่ใช้ใน Microsoft Office 2010
-อินเทอร์เน็ตเอกซ์พลอเรอร์ 10 ใน Modern UI Style จะไม่สามารถลงปลั๊กอินใด ๆ ได้

Logo Run Microsoft Windows8

Start Screen Windows 8








ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น